เลเวอร์คูเซน แชมป์นี้ที่รอคอย 120 ปี ของทีม ‘ห้างขายยา’

ทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายของเกมบุนเดสลีกาในเกมที่สนามไบอารีนา แฟนบอลเลเวอร์คูเซนหลายหมื่นคนที่อดทนรอคอยช่วงเวลานี้มาอย่างยาวนานก็ได้กรูกันลงไปในสนามทันที เพื่อร่วมยินดีกับเหล่าขุนพล “Die Werkself” หรือ “ทีมคนงานทั้ง 11” ที่ถล่มคู่แข่งอย่างแวร์เดอร์ เบรเมน กระจุยถึง 5-0

            ชัยชนะครั้งนี้เป็นการปิดฉากให้พวกเขาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาสมัยแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครองได้สำเร็จแม้ว่าจะยังไม่จบฤดูกาล เพราะทำคะแนนทิ้งห่างบาเยิร์น มิวนิคถึง 16 คะแนนซึ่งเหลือเกมการแข่งขันอีกแค่ 5 นัดเท่านั้นทำให้แต้มขาดไปแล้ว

            แชมป์นี้เป็นการลบคำปรามาสที่โดนมาตลอดว่า “Neverkusen” หรือเลเวอร์คูเซนผู้ไม่มีวันคว้าแชมป์ แผลเป็นในใจของทุกคนในสโมสรและแฟนฟุตบอลตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาได้ด้วย

            เพียงแต่กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ทีมฟุตบอลที่คนไทยรู้จักและเรียกขานกันในนาม “ห้างขายยา” ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างนะ?

จุดกำเนิดจากยิมนาสติกของชาวโรงงาน

 

เลเวอร์คูเซน หรือชื่อเต็มๆว่า ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซน เป็นสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ของประเทศเยอรมนีที่ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 1904  เพียงแต่ในจุดเริ่มต้นนั้นสโมสรแห่งนี้ไม่ได้เป็นทีมฟุตบอลแต่เป็นเหมือนสโมสรกีฬายิมนาสติกซึ่งเป็นกีฬายอดนิยมของชาวเยอรมันในยุคสมัยนั้นโดยมีกีฬาอื่นๆเป็นเพียงแค่ตัวเสริมเท่านั้น ซึ่งฟรีดิช ไบเออร์ จูเนียร์ เจ้าของบริษัท ฟรีดิช ไบเออร์ แอนด์ โค ที่เริ่มจากธุรกิจสีย้อมผ้ามาจนถึงเคมีภัณฑ์และยารักษาโรค เองก็ต้องการให้ลูกจ้างในโรงงานได้ออกกำลังกายเพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย

 

"Turn- und Spielverein Bayer 04 Leverkusen” หรือเรียกกันง่ายๆว่า “TuS 04” สโมสรกีฬาของเลเวอร์คูเซน ซึ่งตั้งชื่อตามคาร์ล เลเวอร์คุส นักธุรกิจเพื่อนสนิทของไบเออร์ และเป็นผู้ขายที่ดินสำหรับสร้างโรงงานริมแม่น้ำไรน์ มาเริ่มแตกตัวออกมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเองในอีก 3 ปีถัดมาคือปี 1907 แม้จะมีข้อแม้ว่าคนจะเล่นฟุตบอลได้เป็นสมาชิกของสโมสรและเล่นยิมนาสติกต่อเนื่องทุกสัปดาห์

            ก่อนที่ฟุตบอลในหมู่คนงานจะเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น มีการแยกตัวออกจากทีมยิมนาสติกอย่างเป็นทางการในปี 1928 โดยใช้ชื่อในขณะนั้นว่า “Sportvereinigung Bayer 04 Leverkusen” หรือ “เอสเฟา ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซน” ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายครั้งจนปัจจุบันสโมสรฟุตบอล ไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซน ในปี 1999

            โดยที่สโมสรแห่งนี้เป็นหนึ่งในสโมสรที่ได้รับการยกเว้นเป็นพิเศษให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ถือหุ้นได้ เพราะจริงๆแล้วในเยอรมนีมีกฎหมายป้องกันทุนเข้ามาครอบครองสโมสรฟุตบอลซึ่งถือเป็นสมบัติของชุมชนที่เรียกว่ากฎ “50+1” (แฟนบอลถือหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์และมีหุ้นพิเศษอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ทำให้โหวตชนะนายทุนได้)

            แต่ไบเออร์ เป็นสโมสรที่เป็นเจ้าของทีมเลเวอร์คูเซนมาอย่างยาวนานเกินกว่า 20 ปี ทำให้ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาไม่ใช่นายทุนที่หวังครอบครองสโมสรเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสโมสรที่มีความเชื่อมโยงกับชุมชนอย่างมีนัยสำคัญ

            ปัญหาคือช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยได้แชมป์ใหญ่อย่างบุนเดสลีกาเลย Neverkusen กับ 120 ปีที่ว่างเปล่า

            เมื่อฤดูกาล 2001-02 หรือ 22 ปีที่แล้ว เลเวอร์คูเซน เคยสร้างความฮือฮาด้วยการมีลุ้นคว้า “3 แชมป์” ในฤดูกาลเดียวกัน

 

    ทีมชุดนั้นของเลเวอร์คูเซนอยู่ภายใต้การนำของเคลาส์ ท็อปป์โมลเลอร์ โค้ชยอดฝีมือคนหนึ่งของวงการฟุตบอลเยอรมัน และมีนักเตะฝีเท้าดีอยู่ในทีมมากมาย อาทิ ลูซิโอ, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, เซ โรแบร์โต และพระเอกของทีมอย่าง มิชาเอล บัลลัค นักเตะเยอรมันสายเลือดใหม่ที่มาแรงที่สุดในตอนนั้นจนได้รับสมญา “ไกเซอร์น้อย”

แต่ไม่มีใครอยากเชื่อเหมือนกันว่าเลเวอร์คูเซนจะพลาดทุกอย่างหมด โดยหายนะเริ่มจากการพลาดแชมป์บุนเดสลีกาให้แก่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลทั้งๆที่ต้องการเพียงแค่ 4 คะแนนจาก 3 นัดสุดท้ายเท่านั้น

            ต่อด้วยการแพ้ชาลเก 04 ในนัดชิงชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาล และปิดท้ายด้วยการพ่ายเรอัล มาดริดในศึกยูเอฟา แชมเปียนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ (ซีเนอดีน ซีดาน ยิงลูกวอลเลย์สุดสวยระดับตำนานในเกมนี้) ทำให้การลุ้น 3 แชมป์จบลงด้วยการเป็น “3 รองแชมป์”

            เรื่องนี้เป็นความเจ็บปวดที่เป็นเหมือนแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหายสำหรับชาวเมืองเลเวอร์คูเซน กับสมญาที่พวกเขาไม่เต็มใจรับ “Vizekusen” หรือ “Neverkusen” ผู้ไม่มีวันได้แชมป์

            สมญานี้เป็นการตอกย้ำเรื่องที่เลเวอร์คูเซนเคยพลาดแชมป์บุนเดสลีกามาแล้วถึง 3 ฤดูกาลตั้งแต่ฤดูกาล 1996-97, 1998-99 และ 1999-2000 โดยเฉพาะฤดูกาลหลังสุดที่เจ็บลึกไม่แพ้กันเพราะต้องเป็นรองแชมป์ทั้งๆที่แต้มเท่าบาเยิร์น มิวนิค แค่ประตูได้เสียน้อยกว่าเท่านั้น

            แชมป์ใหญ่ในประวัติศาสตร์ของสโมสรมีแค่ 2 ครั้งคือ แชมป์ยูเอฟา คัพ ในฤดูกาล 1987-88 และแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ในฤดูกาล 1992-93 ซึ่งเก่าและนานจนไม่มีใครจำได้แล้ว

King Alonso ผู้เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

            ตั้งแต่นั้นมา Neverkusen ยังไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรอีก และมักจะมีช่วงเวลาที่ดีและร้ายสลับกันไปตามแต่ยุคสมัย

            จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเดือนตุลาคม 2022 เมื่อสโมสรเผชิญความกดดันอย่างหนักจากผลงานที่เลวร้ายนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนทีมตกลงไปอยู่อันดับที่ 17 หรือรองบ๊วยของบุนเดสลีกา ทั้งๆที่ฤดูกาลก่อนหน้านั้นไปถึงอันดับที่ 3

            สุดท้ายเกราร์โด เซียวโอเน โค้ชชาวสวิตเซอร์แลนด์ถูกปลดจากตำแหน่ง โดยที่สโมสรเลือกชาบี อลอนโซ อดีตกองกลางทีมชาติสเปนเข้ามาเป็นโค้ชคนใหม่แทน

            การมาถึงของอลอนโซทำให้ผู้บริหารของเลเวอร์คูเซนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะอลอนโซ แม้จะเป็นนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานจริงมาก่อน มีเพียงแค่การคุมทีมเรอัล มาดริดชุดเยาวชน กับทีมชุดบีของเรอัล โซเซียดาดแค่นั้น เรียกว่าเป็นการเสี่ยงที่ถูกมองว่าไม่เข้าท่า

            แต่อลอนโซ ก็พิสูจน์ความสามารถของตัวเองให้เห็นด้วยการพลิกฟอร์มของเลเวอร์คูเซนจากทีมรองบ๊วยจนค่อยๆดีขึ้นและทำอันดับกลับมาได้ถึงที่ 6 เมื่อจบฤดูกาล 2022-23 โดยที่ทีมของเขามีสไตล์การเล่นที่น่าสนใจอย่างมาก

เลเวอร์คูเซน กลายเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้เร้าใจที่สุดด้วยระบบการเล่นแปลกใหม่ แม้อลอนโซจะเป็นนักฟุตบอลสายคลาสสิคที่มีลีลาการเล่นนุ่มนวลแต่ทีมของเขาเล่นด้วยความเร็วและความแม่นยำประดุจสายฟ้า แม้จะมีปัญหาเรื่องการขาดอ่อนประสบการณ์และมีจุดอ่อนอยู่บ้าง แต่มองเห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีอย่างชัดเจน ที่สำคัญคือเลเวอร์คูเซนไม่ได้หยุดนิ่ง พวกเขาเดินหน้าต่อเมื่อถึงเวลาห้างยาจะผลิบานเอง

            เลเวอร์คูเซน ใช้เงินจากการปล่อยมุสซา ดิยาบี ให้แอสตัน วิลลาไป 55 ล้านยูโร เพื่อนำมาลงทุนปรับทัพเสริมทีมในช่วงก่อนฤดูกาล 2023-24 จะเริ่มต้น

            พวกเขาได้นักเตะอย่าง อเลฮานโดร กริมาลโด วิงแบ็กจากเบนฟิกา, วิคเตอร์ โบนิเฟส หัวหอกจอมแกร่งชาวไนจีเรีย และกรานิต ชากา ห้องเครื่องจากอาร์เซนอล ซึ่งทั้งหมดกลายเป็นคีย์แมนในทีมของอลอนโซในฤดูกาลนี้

            ตัวริมเส้นอย่างกริมาลโด เป็นอาวุธหลักในการทะลวงเกมริมเส้นคู่แข่งโดยมี โบนิเฟส เป็นหัวหอกตัวเป้าที่ค้ำยันแนวรุกของทีม ขณะที่ชากา ไม่ได้เก่งเพียงแค่ความดุดันในเกมรับ แต่ยังมีความสามารถในการเติมเกมรุกและเป็นนักเตะที่มี Mentality ของคนที่ไม่ยอมแพ้

            เมื่อรวมกับแกนหลักเดิมที่ทำได้ดีมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วอย่าง เฌเรมี ฟริมปง, โจนาธาน ทาห์, โรเบิร์ต อันดริช, เอ็กเซเกวียล ปาลาซิออส, พาทริก ชิก รวมถึง “Wunderkind” หรือเด็กมหัศจรรย์อย่าง ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ ไอ้หนูอัจฉริยะที่กลับมาฟิตสมบูรณ์ในฤดูกาลนี้

            เลเวอร์คูเซน กลายเป็นทีมที่ลงตัวและกลมกล่อมไปทุกจุด  เหมือนที่มีการกล่าวกันไว้ว่าเมื่อถึงเวลาดอกไม้จะบานเอง นักเตะของอลอนโซต่างผลิบานพร้อมกันในฤดูกาลนี้

            โดยที่นอกเหนือจากระบบการเล่นที่สุดยอดแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาก้าวมาไกลมากๆคือเรื่องของจิตใจ เพราะตลอดฤดูกาลเลเวอร์คูเซนเจอบททดสอบหนักๆหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ถูกมองว่าเดี๋ยวก็เหี่ยวปลายเอง ไปจนถึงเกมยากๆที่ควรจะยอมแพ้ไปได้แล้ว

            แต่ไม่มีสักนัดที่พวกเขายอมแพ้ เลเวอร์คูเซนสู้กลับได้เสมอ และกลายเป็นจ้าวแห่งการยิงท้ายเกม เฉพาะในบุนเดสลีกายิงหลังนาทีที่ 81 ไปถึง 24 ประตูจาก 29 นัด

            ถ้าความเชื่อทำให้คนสร้างสิ่งมหัศจรรย์ได้ เลเวอร์คูเซนก็คือทีมที่มีความเชื่อว่าพวกเขาจะสร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น

คนในเงาผู้อยู่หลังฉากของความสำเร็จ

            ในหลังฉากของความสำเร็จที่สวยงามย่อมมีคนที่แอบยิ้มหลบอยู่ในเงามืด สำหรับเลเวอร์คูเซน ผู้อยู่ในเงาของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้คือ ซิโมน โรลเฟส อดีตกองกลางลูกหม้อของทีมที่ผันตัวเองมาเป็นผู้อำนวยการของสโมสร โดยเข้ารับตำแหน่งในปี 2022 ต่อจากรูดี โฟลเลอร์ ตำนานตลอดกาลของทีมที่ขอวางมือจากตำแหน่งส่งต่อให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับช่วงแทน

            โรลเฟส สานต่องานของโฟลเลอร์ที่ได้หานักเตะสายเลือดใหม่อนาคตไกลอย่าง ปาลาซิออส, เอ็ดมอนด์ แท็ปโซบา, เวิร์ตซ์, ชิก (4 คนนี้มาในปี 2020) รวมถึง ฟริมปง, ปิเอโร ฮินคาปี และอันดริช (ตามมาในปี 2021) มาไว้เป็นต้นทุนของสโมสร

            เพียงแต่งานใหญ่ของผู้อำนวยการคนใหม่อย่างแรกคือการหาคนมาแทนที่เซียวโอเน ซึ่งคนที่เลือกอลอนโซมาคุมทีมก็คือโรลเฟสนี่เอง โดยที่แม้จะถูกวิจารณ์ว่าเดิมพันกับคนไม่มีประสบการณ์ แต่สำหรับเขาแล้วคำว่าประสบการณ์ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

            “การดึงตัวเขามาไม่ใช่การทดลองของเลเวอร์คูเซน มันไม่เกี่ยวอะไรกับประสบการณ์เลย มันเป็นเรื่องของฝีมือล้วนๆ” โรลเฟสตอบคำถามสื่อที่กังขากับการแต่งตั้งอลอนโซ โดยยืนยันว่าเขา “มั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี”

            โดยในเบื้องหลังแล้วโรลเฟส ได้ศึกษาประวัติของอลอนโซมาเป็นอย่างดี ได้มีการพูดคุยกันถึงแนวทางระหว่างสองฝ่ายว่าตรงกันหรือไม่ เพราะเลเวอร์คูเซนนั้นเป็นทีมฟุตบอลที่ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปก็จะเล่นฟุตบอลเกมรุกเพื่อเอาใจแฟนๆ ซึ่งอดีตสตาร์ชาวสเปนที่เคยร่วมงานกับโคตรโค้ชอย่าง ราฟาเอล เบนิเตซ (ลิเวอร์พูล), โชเซ มูรินโญ, คาร์โล อันเชล็อตติ (เรอัล มาดริด), บิเซนเต เดล บอสเก (ทีมชาติสเปน) และเป๊ป กวาร์ดิโอลา (บาเยิร์น มิวนิค) สอบผ่านทุกอย่าง

            ที่เหลือคือการสนับสนุนด้วยการหานักเตะในแบบที่อลอนโซและสโมสรต้องการ โดยใช้ Data analytics ด้วยระบบของ “AWS” วิเคราะห์ข้อมูลนักฟุตบอลจากฐานข้อมูลเพื่อค้นหา “คำตอบ” ที่ต้องการ

            นั่นทำให้เลเวอร์คูเซนไปคว้าเอากริมาลโด และโบนิเฟส มาได้ก่อนทีมอื่นเพราะไม่มีสโมสรไหนที่เคยส่องหานักเตะเหล่านี้มาก่อนเลย

            เรียกได้ว่าในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเลเวอร์คูเซน คนที่อยู่เบื้องหลังก็คือมันสมองและสองตาที่เฉียบคมอย่างโรลเฟสนั่นเอง

ก้าวต่อไปของห้างขายยา

การคว้าแชมป์บุนเดสลีกานั้นเป็นเพียงแค่ “ก้าวแรก” เท่านั้นสำหรับเลเวอร์คูเซน

            ทีมห้างขายยา ยังเหลือลุ้นแชมป์อีก 2 รายการด้วยกัน และเป็นการลุ้นแชมป์แบบมีลุ้นจริงๆด้วยไม่ว่าจะเป็นเดเอฟเบ โพคาล ที่จะพบกับไกเซอร์สลาเทิร์น ซึ่งพวกเขาเป็นต่ออยู่หลายกระบุง กับรายการยูเอฟา ยูโรปา ลีก ที่มาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยเกมนัดแรกชนะเวสต์แฮมไปแล้ว 2-0

            พูดได้เต็มปากว่าเลเวอร์คูเซนมีความหวังกับ 2 รายการนี้ และหวังจะกวาด 3 แชมป์เพื่อลบฝันร้ายเมื่อ 2 ปีที่แล้วให้ได้อย่างหมดจด แต่มันอาจไม่แค่นั้นเพราะเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดที่แฟนๆฝันไว้และต่อให้ไม่ใช่แฟนก็อยากเห็นเหมือนกันคือการคว้าแชมป์ทุกอย่างโดยไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นไปได้โดยในบุนเดสลีกาตอนนี้เหลือ 5 นัดเท่านั้น

            ถ้าทำได้ จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จริงๆที่มีสโมสรคว้าแชมป์ได้ทุกรายการที่ลงแข่งขันในฤดูกาลเดียวโดยไม่แพ้ใครเลย

            อย่างไรก็ดีเลเวอร์คูเซนไม่ได้มองแค่จบฤดูกาลนี้ เพราะเชื่อได้เลยว่าพวกเขาคิดถึงการไปต่อในฤดูกาลหน้าแล้ว หลังจากได้ข่าวดียืนยันให้ทุกคนสบายใจว่าอลอนโซ จะยังคงอยู่กับทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า แม้ว่าจะมีหลายสโมสรที่อยากได้ตัวเขาไปคุมทีมก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล หรือบาเยิร์น มิวนิค

            สำหรับกุนซือชาวสเปนแล้ว เขาไม่ต้องการจะทิ้งสโมสรที่เพิ่งประสบความสำเร็จด้วยกันไปในทันที และยังเชื่อว่าเลเวอร์คูเซนมีโอกาสจะไปได้ไกลกว่านี้ รวมถึงต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของความบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิตแต่อย่างใด

            โรลเฟสเองก็เชื่อได้ว่ามีแผนสำหรับการเสริมทัพให้แกร่งยิ่งขึ้นสำหรับศึกที่จะยิ่งใหญ่และยากขึ้นไปอีกในฤดูกาลหน้า

            แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเฉลิมฉลองร่วมกันกับแฟนๆที่หัวใจเปี่ยมสุขสุดๆในตอนนี้

            จากการฉลองในสนาม สู่การฉลองไปทั่วทั้งเมือง

            การรอคอยแม้จะเจ็บปวด แต่เพราะเหตุผลนี้แหละจึงทำให้การคว้าแชมป์หนแรกในรอบ 120 ปีของเลเวอร์คูเซนงดงามได้ถึงขนาดนี้

2024-04-15T09:53:50Z dg43tfdfdgfd