เมื่อ ‘จิ้งจอกสยาม’ คัมแบ๊ก เขย่าเวทีลูกหนังพรีเมียร์ลีก

เมื่อ ‘จิ้งจอกสยาม’ คัมแบ๊ก เขย่าเวทีลูกหนังพรีเมียร์ลีก

ในที่สุดยอดทีมขวัญใจชาวไทยอย่าง “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ คัมแบ๊คหวนคืนเวทีลีกสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกพร้อมกับการคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ 2024 เป็นสมัยที่ 8 อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

1 ฤดูกาลที่เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีเจ้าของเป็นคนไทยอย่าง “ต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นประธานสโมสรต้องหล่นชั้นไป คนไทยรู้สึกเจ็บปวดกันอย่างมาก

หลังจากจิ้งจอกสยาม คว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพมาครองเป็นสมัยที่ 8 ทำสถิติสูงสุดในประเทศอังกฤษ จากที่เคยคว้าแชมป์มาแล้วในปี 1924-25, 1936-37, 1953-54, 1956-57, 1970-71, 1979-80 และ 2013-14 และกลายเป็นทีมที่คว้าแชมเปี้ยนชิพได้มากที่สุดตลอดกาลแซงหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยทำให้ 7 สมัย

นับตั้งแต่เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2014-15 พวกเขาต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นเพียงแค่ฤดูกาลดังกล่าวเท่านั้น เพราะในปีถัดๆ มา จิ้งจอกสยาม กลายเป็นทีมค่อนบนของตาราง คว้าตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้หลายครั้ง และจุดสูงสุดคือ การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015-16 ราวปาฏิหาริย์

 

การบุกไปชนะ เปรสตัน 3-0 เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ การันตีคว้าแชมป์ฟุตบอลแชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ฤดูกาล 2023-24 ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้น ทำให้เลสเตอร์ เก็บเพิ่มเป็น 97 คะแนน จากการแข่งขันทั้งหมด 45 นัด ปล่อยให้ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด และ “ม้าขาว” อิปสวิช ทาวน์ ขับเคี่ยวแย่งอีก 1 โควต้าแบบอัตโนมัติไปลีกสูงสุด

เลสเตอร์ ซิตี้ แยกทางกับ ดีน สมิธ ก่อนสโมสรจะไปดึง เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือชาวอิตาเลียนที่เคยเป็นผู้ช่วยของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในทีมเรือใบสีฟ้า เข้ามากู้วิกฤต โดยเซ็นสัญญาคุมทีมเป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งนั่นคือ คำตอบสุดท้ายที่ถูกต้องในการเลือก มาเรสก้า มาคุมทีม

มาเรสก้า คว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของแชมเปี้ยนชิพ ได้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ถือเป็นการเริ่มต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเป็นเดือนแรกที่เริ่มการแข่งขันในลีก โดยชนะไป 12 จาก 13 เกม ทั้งยังสามารถคว้ารางวัลนี้ได้อีกครั้งในเดือนตุลาคมและธันวาคม

 

 

ผลงานที่ดีที่สุดของเลสเตอร์คือ การชนะ 9 นัด ตั้งแต่กลางเดือนกันยายนถึงปลายเดือนตุลาคม และไม่แพ้ใคร 10 นัดตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงวันปีใหม่

แม้จะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และต้องเริ่มต้นลีกรองด้วยการเสียผู้เล่นคนสำคัญไปทั้ง เจมส์ แมดดิสัน, ฮาร์วีย์ บาร์นส์, ยูริ ติเลอม็องส์, จอนนี่ อีแวนส์ และ อโยเซ่ เปเรซ เป็นต้น แต่เลสเตอร์ ก็เสริมทัพภายใต้ข้อจำกัดที่มีไม่ว่าจะเป็น แฮร์รี่ วิงส์, สเตฟีย์ มาวิดิดี้ และคอเนอร์ โคดี้ เป็นต้น

ผลงานในลีก เลสเตอร์ ลงแข่งไปทั้งหมด 45 นัด ชนะได้ 31 นัด เสมอ 4 นัด และแพ้ไป 10 นัด ยิงได้ 89 ประตู เสียไป 39 ประตู ผลต่างประตูได้เสีย +50 และเก็บได้ถึง 97 คะแนน

คีย์แมนหลักอีกหนึ่งคนที่ถูกยกให้เป็นหัวใจสำคัญในการนำเลสเตอร์ ซิตี้ คัมแบ๊คเวทีพรีเมียร์ลีกนั่นคือ เจมี่ วาร์ดี้ กองหน้าจอมเก๋าอดีตทีมชาติอังกฤษวัย 37 ปีที่ร่วมหัวจมท้ายกับทีมจนเป็นที่รักของแฟนบอลจิ้งจอกสยามและถูกยกให้เป็น “เจ้าชายจิ้งจอกสยาม” ไปเรียบร้อยแล้ว

เจมี่ วาร์ดี้ เป็นนักเตะที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับเลสเตอร์มาอย่างยาวนาน ก่อนหน้านี้เขาเล่นในศึกดิวิชั่น 8 กับสต็อคส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์ ก่อนจะถูกดึงสู่แคมป์จิ้งจอกสยาม ตั้งแต่ปี 2012 ก่อนจะช่วยพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2014-15 ก่อนจะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในฤดูกาล 2015-16 เจ้าตัวยิงไป 24 ประตู เลสเตอร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ที่หลายคนเรียกกันว่าเป็นเทพนิยาย และคว้าแชมป์เอฟเอคัพกับเลสเตอร์ในฤดูกาล 2020-21

 

 

วาร์ดี้ ตะบันประตูในศึกพรีเมียร์ลีกมากกว่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้, เดนนิส เบิร์กแคมป์, เอริก คันโตน่า, เฟร์นานโด ตอร์เรส, เซร์คิโอ้ ซัวเรซ, ซาดิโอ มาเน่, เอแด็น อาซาร์ เสียด้วยซ้ำ แม้ตอนเลสเตอร์ ตกชั้นวาร์ดี้ ได้รับข้อเสนอจากทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมแต่เขาก็ปฏิเสธพร้อมกับขอร่วมหัวจมท้ายกับทีมของคนไทยอย่างเลสเตอร์ฯ ต่อไป ก่อนที่เขาจะเป็นหัวใจหลักตะบันประตูแบบเป็นกอบเป็นกำนำทีมเลื่อนชั้นคืนเวทีพรีเมียร์ลีก

ซึ่ง “ต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ไม่ทิ้ง วาร์ดี้ พร้อมกับจับเจ้าตัวเซ็นสัญญาต่อเพื่อไปลุยพรีเมียร์ลีกด้วยกันอีกครั้งในฤดูกาลหน้าเป็นการตอบแทนความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ต่อสโมสรของคนไทย

เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือผู้นำเลสเตอร์คว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ และเลื่อนชั้นคืนพรีเมียร์ลีก เปิดใจว่า การกลับมาเป็นผู้ชนะคือ ความสำเร็จที่มหัศจรรย์ หลังจากการแข่งขันที่ยากลำบาก และเข้มข้น ในท้ายที่สุด เราก็ทำได้ และเราได้นำสโมสรแห่งนี้ไปยังจุดที่สมควรจะอยู่

อย่างไรก็ตามเลสเตอร์ ยังคงต้องเผชิญวิบากกรรมเรื่องทำผิดกฎระเบียบกำไรและความยั่งยืน ซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบทำให้พวกเขาโดนตัดแต้มพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลหน้าตั้งแต่ก่อนเริ่มฤดูกาลด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นอาจทำให้เลสเตอร์ฯ เริ่มต้นฤดูกาลหน้าด้วยความยากลำบาก

“ต๊อบ” อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเลสเตอร์ฯ เปิดใจว่า การเดินทางของเราเริ่มต้นในปี 2010 เมื่อเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เลสเตอร์ ซิตี้ นับตั้งแต่วันที่เราเข้ามา เรารู้สึกได้ถึงความรัก และความคลั่งไคล้ของแฟนบอลทุกคน ตั้งแต่วันนั้น เรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั่นคือการพาสโมสรกลับไปเล่นในพรีเมียร์ลีก เราใช้เวลากว่า 4 ปีในการพาทีมไปสู่เป้าหมายที่เราฝัน เราทุ่มเทเพื่อให้สโมสรของเราพัฒนาขึ้นในทุกด้าน เราลงทุนกับตลาดซื้อขายนักเตะ, ทีมงานผู้ฝึกสอน ไปจนถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของสโมสร ทั้งหมดก็เพื่อทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเราจะเป็นทีมระดับพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง เรามีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่เราก็ไม่เคยยอมแพ้ และเดินหน้าต่อไป เราเชื่อว่าสิ่งที่เรากำลังสร้างกันอยู่นั้น จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามที่เราต้องการได้ การเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องราวหลังจากนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกคนไม่มีวันลืม ฤดูกาลแรกของเราในพรีเมียร์ลีก ทุกคนคิดว่าเราจะตกชั้นแน่นอน อย่างไรก็ตามเรารวมใจกันฝ่าฟันทุกอุปสรรค พวกเรารอดตกชั้น จนได้รับขนานนามจากแฟนฟุตบอลว่า การหนีตกชั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาเราจะสร้าง เทพนิยาย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการกีฬาด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดที่เราได้สร้างความทรงจำด้วยกันมา แต่ผมอยากให้เราเห็นถึงความพยายามของพวกเราตลอดที่ผ่านมา ซึ่งทั้งหมดทำให้ผมมั่นใจว่า เราจะกลับมาได้อีกครั้ง แน่นอนว่าการตกชั้นคือ การถอยหลัง แต่มันจะไม่ใช่จุดจบของพวกเรา และเราก็ทำมันสำเร็จแล้วด้วยการไปยืนในจุดที่สมควรยืนสำหรับสโมสรแห่งนี้

นี่คือทีมฟุตบอลตัวแทนคนไทยอย่างแท้จริงในเวทียักษ์ใหญ่ยากลำบากอย่างพรีเมียร์ลีก…

 

 

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เมื่อ ‘จิ้งจอกสยาม’ คัมแบ๊ก เขย่าเวทีลูกหนังพรีเมียร์ลีก

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่

– Website : https://www.matichon.co.th

2024-05-02T01:09:28Z dg43tfdfdgfd