อาร์เซนอล 5-0 เชลซี : ประเด็นหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปืนใหญ่ รัว สิงห์บลู หมดแม็กซ์รั้งจ่าฝูง

“ลอนดอนดาร์บี้” จบลงด้วยชัยชนะท่วมท้นกลายเป็นสถิติสโมสรสำหรับอาร์เซนอล กับการเปิดบ้านปูพรมถล่มเชลซี 5-0 พร้อมส่งให้อาร์เซนอล กลายเป็นทีมแรกในพรีเมียร์ ลีก ที่ทำประตูได้เกิน 80 ประตูไปเรียบร้อยแล้ว และเหลืออีก 4 เกมสุดท้าย

เริ่มต้นสนุกทั้งสองทีม จบเกมสนุกอยู่ฝ่ายเดียว

นี่คือ “ลอนดอนดาร์บี้” ที่ถือว่าสนุกเอาเรื่องเลยทีเดียว เพราะเป็นเกมที่เปิดแลกกันตั้งแต่ต้นเกม และมีประตูแรกของเกมตั้งแต่ยังไม่ครบ 5 นาทีแรก ทีมนำก็บุกต่อ ทีมตามก็บุกสู้ เกมจึงออกมาสนุกดูเพลินไม่ชวนง่วงสำหรับผู้ชม

อาร์เซนอล ทำได้ดีกว่าในการเข้าทำ พวกเขาสามารถเซตบอลสร้างอันตรายได้มากมายตลอด 45 นาทีแรก ขณะที่เชลซี โอกาสจบน้อยกว่า แต่ก็มีจังหวะเสียวไส้ไม่น้อยกว่ากันนัก มองการเล่นแล้ว อาร์เซนอล สร้างจังหวะมาจากการเซตเกมที่มีแบบแผน ขณะที่ เชลซี หลายเพลย์ได้โอกาสเกิดจากสกิลการใช้ความเร็วของตัวด้านข้าง หรือตัวบนอย่าง นิโกลาส แจ็คสัน ทำให้เกิดจังหวะในการลุ้นเข้าทำประตู หัวหอกเซเนกัล อาจถูกปรามาสในเรื่องความเฉียบคมมาตลอดฤดูกาล แต่ก็เป็นนักเตะที่ปราดเปรียว และหาพื้นที่ได้ดี ซึ่งสร้างความกังวลให้แนวรับเจ้าบ้านได้เรื่อย ๆ แต่ปัญหาก็คือความเฉียบคมนั่นล่ะ

ขณะที่อาร์เซนอลเกมรุกเล่นกันสนุก โดยเฉพาะ มาร์ติน เออเดการ์ด ได้พลิกเข้าหน้าประตูคู่แข่งแล้วอันตรายมาก และยอดเยี่ยมตลอด 90 นาทีเต็ม ส่วน ไค ฮาแวตซ์ 45 นาทีแรก ดีหลายเรื่อง ยกเว้นการตัดสินใจสุดท้ายจังหวะสังหารที่ผิดพลาดไปหมด เช่นเดียวกับการเก็บบอลที่เก็บได้แต่ไปต่อไม่ได้ในพื้นที่อันตราย อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วครึ่งหลัง ฮาแวตซ์ ก็แก้ตัวคืนได้กับประตูที่สามของเกมที่เขาทำได้ดี ทั้งการเข้าหาบอล และลากเข้าไปจบสกอร์ เช่นเดียวกับประตูที่ 4 ที่ยิงโชว์ยัดเสาแรก เรียกว่าแฟนบอลที่บ่นผลงานครึ่งแรก ได้แต่มีรอยยิ้มในครึ่งหลัง เพราะ 45 นาทีหลังคือเกมคนละคลาสระหว่างทั้งสองทีม

สถิติสวนทางกับผลการแข่งขัน

เกมนี้เป็นอีกเกมที่เราได้เห็น ตัวเลขการทำงานในสนามของทีม ซึ่งหากเทียบกับผลการแข่งขันที่ออกมา ดูจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันเท่าใดนัก เชลซี หากมองกันที่การทำงานในสนามพวกเขาโดดเด่นกว่าทั้งการครองบอล และจำนวนการผ่านบอล แต่สุดท้ายผลการแข่งขันเป็นอาร์เซนอลที่ได้รับการชูมืออย่างเป็นเอกฉันท์

ความเฉียบคมของ “ปืนใหญ่” ความหละหลวมเกมรับของ “สิงบลูส์”

ตั้งแต่ครึ่งแรกแม้จะมีโอกาสเสียวไส้ได้ลุ้นด้วยกันทั้งสองทีม แต่สิ่งที่ต่างกันคือ อาร์เซนอล ได้โอกาสจบสกอร์มากกว่าชัดเจน และพวกเขาไม่เพลาเกมรุกของตัวเองลงแม้จะมีประตูนำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาอยู่แล้วที่บุกหนักเอาเป็นเอาตาย สิ่งที่ขาดไปคือความเฉียบคมที่ลดลงทั้งจากพลาดไปเอง และความยอดเยี่ยมของนายทวารทีมเยือน แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังทุกอย่างลงตัว อาร์เซนอล ก็ทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาคือทีมลุ้นแชมป์ ขณะที่ เชลซี เกมรุกที่ไม่ต่อเนื่องยังไม่มีปัญหาเท่ากับเกมรับ ที่ต้องบอกว่าพวกเขาโดนทะลวงไปแล้วทะลุหลัก 50  ประตู มากกว่าอาร์เซนอล ถึงครึ่งต่อครึ่ง และนี่คือเหตุผลทำไมพวกเขาถึงยังอยู่ในอันดับกลางตารางของลีก

เรื่องของความผิดพลาดเกิดขึ้นกับทั้งสองทีม แต่สุดท้ายแล้ว ความผิดพลาดที่เสียประตู เกิดขึ้นกับเชลซี และมันเกิดขึ้นถึง 5 ครั้ง

การสร้างทีมที่ยังไม่เห็นโครงสร้างชัดเจนของ “พอช”

เชลซี ของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่ มีฤดูกาลที่เหมือนรถไฟเหาะ พวกเขาเริ่มต้นได้ย่ำแย่ และก็มีช่วงที่ดีเป็นช่วง ๆ หากมองในแง่ของความสำเร็จพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศ และ เข้ารอบรองชนะเลิศบอลถ้วยในประเทศสองรายการ และเกมลีกที่มีช่วงที่ไม่แพ้ติดต่อกันยาวนาน แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือเรื่องของความต่อเนื่องที่ดีในแง่ของผลการแข่งขัน และความสม่ำเสมอ ที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ

โปเชตติโน่ เข้ามารับงานคุมทีมเชลซีในแบบที่เรียกว่าแทบจะไม่มีแกนหลักของทีมชุดเดิมเลยด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้าการเข้ามาของเขา ในยุคของ เกรแฮม พอตเตอร์ เชลซี ก็ล้างทีมอย่างบ้าคลั่ง ซื้อนักเตะเข้ามามากมายหนึ่งรอบ พอมาถึงยุคของพอช พวกเขาก็ยังทำแบบเดิม ทีมแทบจะเรียกว่าเป็นหน้าใหม่ต่อกันและกันทั้งโค้ช และนักเตะ เรียนรู้กันมาเรื่อย และผลการแข่งขันก็สะท้อนถึงข้อเท็จจริงที่ว่า กีฬาที่เล่นเป็นทีม ไม่สามารถที่จะล้างทีมได้มากมายนักในแต่ละรอบ ยิ่งจำนวนคนมากเท่าไร ความเข้าใจในการทำงานร่วมกันก็ยิ่งทำให้เข้าใจกันใช้เวลานานขึ้น ก็ต้องมารอดูกันต่อไปว่า เชลซี จะยังคงยึดมั่นกับการทำงานร่วมกับพอช ต่อไป หรือจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จากการที่แน่นอนแล้วว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าร่วมแชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลหน้า

ต้นฉบับของบทความนี้เผยแพร่ภายใต้ 90min.com/th ที่ชื่อ อาร์เซนอล 5-0 เชลซี : ประเด็นหลังเกม พรีเมียร์ลีก ปืนใหญ่ รัว สิงห์บลู หมดแม็กซ์รั้งจ่าฝูง.

2024-04-24T06:30:39Z dg43tfdfdgfd